วันจันทร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
ทะเลโบราณและที่ตั้งชุมชนสมัยทวารวดี
แนวชายฝั่งทะเลอ่าวไทยเมื่อราว ๑,๔๐๐ ปีมาแล้ว พบแนวสันทรายเป็นช่วง ๆ ระดับน้ำทะเลในสมัยนั้นอยู่สูงกว่าปัจจุบันประมาณ ๓.๕-๔ เมตร ลักษณะของอ่าวไทยเป็นอ่าวลึกเว้าเข้าไปห่างจากแนวชายฝั่งทะเล ทำให้สภาพภูมิศาสตร์ของเมืองโบราณอู่ทองในสมัยนั้นเป็นเมืองท่าชายทะเลที่สำคัญ เป็นศูนย์กลางการคมนาคมทางบกและทางน้ำทางฝั่งตะวันตกของลุ่มน้ำเจ้าพระยา มีลำน้ำจระเข้สามพันเชื่อมกับลำน้ำต่าง ๆ ทำให้มีการแลกเปลี่ยนสินค้ากับนานาประเทศ เช่น โรมัน เปอร์เซีย อินเดีย ในเวลาต่อมาชายฝั่งทะเลเริ่มถอยห่างออกไป เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลกและการเปลี่ยนแปลงทางเดินของแม่น้ำ เกิดการทับถมของตะกอนแม่น้ำจนเกิดเป็นแนวชายฝั่งในปัจจุบัน ส่งผลให้เมืองอู่ทองเริ่มหมดความสำคัญไปในที่สุด
จากแผนที่โบราณนี้ ทำให้ทราบว่าทะเลสมัยทวารวดีมีอาณาบริเวณ กว้างใหญ่ไพศาล โดยจังหวัดกรุงเทพมหานคร พระนครศรีอยุธยา และพื้นที่บางส่วนของจังหวัดสุพรรณบุรี ชลบุรี เพชรบุรี ราชบุรี นครปฐมและนครนายก เป็นทะเลโบราณในอดีต
แผนที่แสดงทะเลโบราณและที่ตั้งชุมชนสมัยทวารวดี
เอกสารอ้างอิง แผนที่ : สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ๒๕๓๕:๒๔๕ ข้อมูล : หนังสือโบราณคดีคอกช้างดิน สำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ ๒ สุพรรณบุรี เลขหมู่หนังสือ ๙๕๙.๓๗๓ ศ ๕๒๘ บ ปี ๒๕๔๕ หน้า ๓-๔
ความเป็นมาของอารยธรรมทวารวดีที่อู่ทอง
การศึกษาเกี่ยวกับทวารวดีได้รับการกล่าวถึงครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๔๒๗ ในยุคเริ่มต้นของการศึกษานั้น นายแซม มวล บีล (Samuel Beal) ได้แปลบันทึกของพระภิกษุเหี้ยนจัง (Xuanzang) หรือที่รู้จักกันดีในนามของพระถังซัมจั๋ง พระภิกษุเหี้ยนจังได้เดินทางจากจีนไปสืบศาสนาในอินเดียโดยทางบกในปี พ.ศ.๑๑๗๒ และเดินทางกลับจีนในปี พ.ศ.๑๑๘๘ เอกสารเล่มนี้ชื่อว่า Si-yu-ki Buddhist records of the Western world โดยในบันทึกกล่าวถึงหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับดินแดนที่อยู่ระหว่างพม่ากับเขมร ปรากฏชื่อคือ โถ-โล-โป-ตี (To-lo-po-ti) ซึ่งนักวิชาการส่วนใหญ่ลงความเห็นว่าหมายถึง ทวารวดี อันเป็นอาณาจักรหนึ่งที่ตั้งอยู่บริเวณภาคกลางของประเทศไทย
ในปี พ.ศ.๒๔๓๙ นายตากากุสุ (J. Takakusu) ได้แปลบันทึกการเดินทางของพระภิกษุคือ อี้จิง (I-Tsing) ซึ่งเป็นพระภิกษุชาวจีนที่เดินทางไปแสวงบุญ ณ ประเทศอินเดีย แต่ใช้วิธีการเดินทางด้วยทางน้ำในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓ ปรากฏในเอกสารชื่อ A Record of the Buddhist Religion as practiced in India and the Malay Archipelago โดยกล่าวว่า ได้เดินทางออกจากเมืองกวางตุ้งด้วยเรือเพื่อมุ่งหน้าไปอินเดีย เมืองและอาณาจักรที่สำคัญตามเส้นทางได้แก่ หลินยี่ ฟูนัน ทวารวดี ลังเจียชู ศรีวิชัย และโมโลย
ในปี พ.ศ. ๒๔๔๖ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงนิพนธ์บันทึกรายงานเสด็จตรวจราชการเมืองสุพรรณบุรี ซึ่งทรงตั้งข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับเมืองอู่ทองว่า “เมืองท้าวอู่ทองเห็นว่าเป็นเมืองใหญ่มีกำแพงเมือง ๒ ชั้น มีสระใหญ่ ๆ ขุดไว้หลายสระ ข้างในเมืองมีโคกอิฐ ซึ่งน่าจะเป็นวัดวาของเก่ามากมายหลายแห่ง เจดีย์ยังคงรูปอยู่ก็มีบ้าง พบพระพุทธรูปที่มีฝีมือช่างเดียวกับที่พบที่พระปฐมเจดีย์ รวมทั้งได้พบเหรียญตราสังข์ อย่างเดียวกับที่ขุดได้ที่จุลปะโทน สันนิษฐานว่าเมืองนี้จะเป็นเมืองสมัยเดียวกับเมืองโบราณที่พระปฐมเจดีย์”
การศึกษาเกี่ยวกับศิลปะทวารวดีได้เริ่มต้นขึ้นอย่างแท้จริงระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๖๘-๒๔๗๓ โดย สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ และ ศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ นักภาษาศาสตร์แห่งสำนักงานฝรั่งเศสแห่งปลายบุรพาทิศ (G. Coedes) ได้ให้คำจำกัดความของคำว่า “ศิลปะทวารวดี” ขึ้นเป็นครั้งแรกว่าหมายถึงประติมากรรมทางพุทธศาสนาที่มีลักษณะดั้งเดิมเป็นของตัวเอง แม้ว่าจะมีอิทธิพลของศิลปะอินเดียแบบคุปตะผสมอยู่ด้วย แต่ทั้งสองท่านมีความคิดเห็นเกี่ยวกับเมืองหลวงทวารวดีแตกต่างกัน
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพและ ยอร์ช
โดยในปี พ.ศ.๒๔๖๙ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงกำหนดเรียกสมัยทวารวดีโดยตั้งข้อสันนิฐานว่าน่าจะอยู่ในช่วง พ.ศ.๕๐๐ โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่นครปฐม ส่วนศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ ได้เข้ามารับราชการในไทยในตำแหน่งบรรณารักษ์ได้ทำการอ่านจารึกและศึกษาค้นคว้าโบราณคดีในประเทศไทยในปี พ.ศ. ๒๔๗๑ ได้เสนอบทความไว้ในวารสาร Ars Asiatica กล่าวว่า มีรัฐชื่อทวารวดีอยู่ทางภาคกลางของประเทศไทย ซึ่งมีลักษณะศิลปะใกล้เคียงกับแบบคุปตะของอินเดียโดยมีศูนย์กลางอยู่บริเวณทิศตะวันตกและเหนืออ่าวไทย รวมทั้งเชื่อว่าเมืองอู่ทองคือเมืองหลวงของอาณาจักรนี้ ต่อมาศาสตราจารย์เซเดส์ได้อ่านจารึกบนเหรียญเงินสองเหรียญ พบที่นครปฐมและอู่ทอง กล่าวถึง ศฺรีทฺวารวตี ศฺวรปุณฺยะ ว่าหมายถึง บุญกุศลของพระราชาแห่งทวารวดี
นักวิชาการต่างชาติหลายท่านเข้ามาทำการศึกษาขุดค้นทางโบราณคดีที่อู่ทอง เช่น นายควอริทช์ เวลส์ นักโบราณคดีชาวอังกฤษ ต่อมาระหว่างปี พ.ศ.๒๕๐๔-๒๕๐๙ ผู้เชี่ยวชาญทางโบราณคดีจากสำนักงานฝรั่งเศสแห่งปลายบุรพาทิศ คือ ศาสตราจารย์ฌอง บวสเซอลิเยอร์ (Jean Boisselier) มาร่วมขุดค้นทางโบราณคดีที่เมืองอู่ทอง
ศาสตราจารย์ฌอง บว
จากการศึกษาครั้งนี้เองศาสตราจารย์บวสเซอลิเยอร์ได้เสนอบทความที่สำคัญคือ “เมืองอู่ทองและความสำคัญของเมืองอู่ทองในประวัติศาสตร์ไทย” (U-Thong et son importance pour l’histoire de Thailande) โดยเสนอว่าเมืองอู่ทองเป็นเมืองเอกที่พบหลักฐานการอยู่อาศัยอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ และเชื่อว่าเคยเป็นดินแดนอาณาจักรฟูนัน โดยเปรียบเทียบศิลปวัตถุที่พบว่ามีความใกล้เคียงกับที่ปราจีนบุรีและเมืองออกแก้ว เมืองอู่ทองได้เจริญจนถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๗-๑๘ และถูกทอดทิ้งอย่างกะทันหัน อาจมีสาเหตุมาจากภัยธรรมชาติและอื่นๆ การค้นพบหลักฐานทางโบราณคดีที่เมืองอู่ทอง เท่ากับเป็นการยืนยันว่ามีอาณาจักรอยู่จริงตามที่กล่าวไว้ในจดหมายของจีน รวมทั้งพบหลักฐานที่สำคัญคือ จารึกพบแผ่นทองแดง ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๔ ที่กล่าวถึงพระนามพระมหากษัตริย์คือ พระเจ้าหรรษะวรมัน ดังนั้น อู่ทองจึงน่าจะเป็นเมืองของพระองค์
ผลการศึกษาเกี่ยวกับทวารวดีในประเทศไทย มีการศึกษาค้นคว้าอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบมากยิ่งขึ้น ทำให้ได้ข้อมูลและเรื่องราวของอารยธรรมทวารวดีชัดเจนขึ้น ผู้วิจัยที่ทำงานอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับทวารวดีได้แก่ ศ.ดร.ผาสุข อินทราวุธ อดีตคณบดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้จัดทำรายงานการขุดค้นทางโบราณคดี งานส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการตีความวิเคราะห์วิจัยโดยใช้ข้อมูลทางโบราณคดี นำมาศึกษาเชิงวิเคราะห์ นับเป็นผลงานค้นคว้าทางโบราณคดี ที่เป็นที่ยอมรับระดับสากล
เอกสารอ้างอิง
ผศ.ดร.ศักดิ์ชัย สายสิงห์ “วัฒนธรรมพุทธศาสนายุคแรกเริ่มในดินแดนไทย” หนังสือศิลปะทวารวดี ปี ๒๕๔๗ สำนักพิมพ์เมืองโบราณ หน้า ๑๔-๑๙. หนังสือคู่มือนำชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอู่ทองและเรื่องราวสุวรรณภูมิ สำนักพิมพ์อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) หน้า ๕๑. ภาพประกอบ ข้อมูลและโบราณวัตถุที่แสดงในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอู่ทองถ่ายภาพโดยนางสาวชมพูนุท ธาราสิทธิโชค
*********************************************
เรียบเรียงโดย นางสาวชมพูนุท ธาราสิทธิโชค
สำนักงานพื้นที่พิเศษเมืองโบราณอู่ทอง
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น