มหาวิทยาลัยนเรศวรนำร่องพัฒนาโมเดลหลักสูตรวิชาประวัติศาสตร์
มิติใหม่แห่งการเขียนประวัติศาสตร์ภาคประชาชนโดยคนในท้องถิ่น
พระราชเสาวนีย์ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชินีนาถ เมื่อวันที่๑๒สิงหาคม ๒๕๕๑ที่ทรงห่วงใยในการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย
ก่อให้เกิดการตื่นตัว รื้อฟื้น ให้ความสำคัญกับหลักสูตรประวัติศาสตร์ชาติไทยมาตลอดระยะเวลา
๗ ปี
มาวันนี้
ถึงเวลาของการพัฒนาหลักสูตรประวัติศาสตร์ท้องถิ่นให้เป็นรูปธรรมมากขึ้นเนื่องจากประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเป็นวิชาที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง
เพราะช่วยให้เด็กและเยาวชนเกิดสำนึกรักบ้านเกิด รู้จักทรัพยากรและภูมิปัญญาที่มีอยู่ในท้องถิ่น
เข้าใจความเปลี่ยนแปลงในท้องถิ่นของตนเอง
ซึ่งจะช่วยทำให้รับมือต่อการเปลี่ยนแปลงในอนาคตได้ทั้งนี้การเขียนประวัติศาสตร์ท้องถิ่นต้องไม่ใช่เพียงนักประวัติศาสตร์
ผู้มีอำนาจ หรือผู้มีชื่อเสียงเป็นผู้เขียน ผู้กำหนด แต่เกิดจากคนในท้องถิ่นที่รู้
เข้าใจ และจดจำเรื่องของท้องถิ่นตัวเองได้ดีที่สุด
ด้วยเหตุนี้จึงเกิดโครงการสัมมนาวิจัยเชิงปฏิบัติการ
“การเขียนประวัติศาสตร์ประชาชนแบบมีส่วนร่วม” ขึ้น โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
กระทรวงศึกษาธิการ ร่วมกับสถานอารยธรรมศึกษา โขง-สาละวิน มหาวิทยาลัยนเรศวรภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์
มหาวิทยาลัยนเรศวร และภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ ๑๖ - ๑๘ ธันวาคม
๒๕๕๘ ณ มหาวิทยาลัยนเรศวร
“ครั้งนี้เป็นครั้งแรกในการพัฒนาหลักสูตรวิชาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น
โดยคนในท้องถิ่น เพราะทุกคนล้วนมีส่วนร่วมในประวัติศาสตร์ สาเหตุที่เลือกจังหวัดพิษณุโลก
เนื่องจากเป็นจังหวัดที่อยู่ในเขตภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนบน
มีพื้นที่ที่น่าสนใจ เป็นศูนย์กลางของการเกิดขึ้นของประชาคมอาเซียน ที่สำคัญมีสถานอารยธรรมศึกษา
โขง-สาละวิน มหาวิทยาลัยนเรศวร ที่มีกระบวนการวิจัย มีคณาจารย์ และชุดความรู้
เมื่อได้ต้นแบบแล้ว จะขยายต่อไปยัง ๑๐ พื้นที่ทั่วประเทศ ณ
มหาวิทยาลัยขนาดใหญ่ให้เป็นศูนย์เรียนรู้ ฝึกคน จากนั้นจะกระจายสู่โรงเรียนต่อไป”ดร.เฉลิมชัย พันธ์เลิศ ผู้อำนวยการสถาบันสังคมศึกษา
สำนักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน
“นับเป็นการปักหมุดที่มีความสำคัญยิ่ง
เป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างองค์ความรู้ร่วมกัน เป็นครั้งแรกที่มีการพูดคุย
แลกเปลี่ยนข้อมูล ความรู้ ประสบการณ์ หล่อหลอมรวมกันเพื่อสร้างประวัติศาสตร์ภาคประชาชน
เพื่อพัฒนาเป็นโมเดลที่ใช้เหมือนกันทั้งประเทศ”ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.วศิน ปัญญาวุธตระกูล ผู้อำนวยการสถานอารยธรรมโขง-สาละวิน
มหาวิทยาลัยนเรศวร
การสัมมนาวิจัยเชิงปฏิบัติการครั้งนี้จึงระดมนักวิชาการระดับภาค
ระดับประเทศ ตลอดจนคนในท้องถิ่น ได้แก่ ครู นักเรียน นิสิต ปราชญ์ชาวบ้าน
ครูภูมิปัญญา นักวิชาการ บุคลากรจากองค์กรต่าง ๆและผู้นำกลุ่มชาติพันธุ์ ในจังหวัดพิษณุโลก
สุโขทัย และอุตรดิตถ์ ร่วมกันคิด ช่วยกันเขียน
ก่อร่างสร้างประวัติศาสตร์ของท้องถิ่น
“เราสอนประวัติศาสตร์เพื่อเชื่อมโยงอดีต ปัจจุบัน สู่อนาคต
รากต้องหยั่งลึก จึงจะเติบโตอย่างเข้มแข็ง”อาจารย์อรรถพล อนันตวรสกุล คณะครุศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อภิปรายถึงความสำคัญของวิชาประวัติศาสตร์
“เราเรียนประวัติศาสตร์เพื่อให้สามารถแสดงมุมมองต่อเรื่องต่าง
ๆ ได้ จากข้อมูลวิชาการและมุมมองอันหลากหลาย สามารถเชื่อมโยงตัวเองกับความเป็นภูมิภาคที่กว้างขวางมากขึ้น
เป็นสากลมากขึ้น ปัจจุบันที่น่าเป็นห่วงคือ เราเรียนประวัติศาสตร์เป็นชิ้น ๆ เช่น
ประวัติศาสตร์ไทย ประวัติศาสตร์สากล
โดยไม่สามารถเชื่อมโยงความเป็นไทยกับความเป็นสากลได้ เช่น
เราเรียนประวัติศาสตร์สุโขทัย แต่ไม่สามารถโยงกับประวัติศาสตร์จีนได้
ว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างไร
ความรุ่งเรืองของสุโขทัยเกี่ยวข้องกับพัฒนาการในอาณาจักรใกล้เคียงกันหรือประเทศมหาอำนาจทางวัฒนธรรมในอดีตอย่างไรบ้าง”
“ทำโปรเจคสามย่านศึกษา ให้นิสิตจุฬาฯ
ได้รู้จักสามย่าน แบ่งกลุ่ม แยกกันศึกษา เก็บข้อมูล ลงพื้นที่คุยกับคนในชุมชน ครั้งหนึ่งนิสิตไปคุยกับแม่ค้าขายอาหารตามสั่ง
ป้าเป็นเด็กสามย่าน เกิดและเติบโตที่นี่ ย้ายตลาดมา ๓ ครั้ง ปรากฏว่าป้ามีคำพูดที่โดนใจมาก
คือ จุฬาฯ ทุบบ้านป้าไปสร้างตึกให้พวกหนูได้เรียนหนังสือ คำพูดแบบนี้นิสิตไม่เคยได้ยินมาก่อน
ไม่เคยรู้มาก่อนว่าต้นทุนชีวิตของพวกเขาแลกมากับความทรงจำของผู้คน แสดงให้เห็นว่าประวัติศาสตร์ของผู้คนถูกมองข้ามมาตลอด
ถ้าไม่ลงพื้นที่ศึกษา ก็จะไม่เจอเรื่องเล่าที่เกี่ยวกับผู้คน เกี่ยวกับความทรงจำ
เป็นบทเรียนเล็ก ๆ ที่ชี้ให้เห็นว่านิสิตต้องรู้ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น
เป็นกระบวนทัศน์ที่สำคัญมาก”
“เราคงไม่สามารถที่จะให้เด็ก ๆ
เรียนรู้เรื่องท้องถิ่นทุกเรื่องเพื่อจดจำไปสอบ
แต่เราเรียนรู้เพื่อที่จะเปิดมุมมองให้กว้างขวางมากขึ้น ยิ่งรู้เรื่องตัวเอง
ก็จะยิ่งเห็นว่าตัวเองเป็นใคร เมื่อรู้เรื่องคนอื่นก็จะเชื่อมโยงตัวเองกับคนอื่นได้มากยิ่งขึ้น”
การศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นจึงไม่จำเป็นต้องศึกษาจากลายลักษณ์อักษรเสมอไป
สามารถศึกษาจากคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งก็คือประวัติศาสตร์บอกเล่า
จากห้องสัมมนาใหญ่จึงถูกปรับเปลี่ยนเป็นการสัมมนากลุ่มย่อย
เพื่อหาความทรงจำร่วมในยุคต่าง ๆซึ่งเป็นเหตุการณ์ในท้องถิ่นที่มีผลต่อความรู้สึกนึกคิด
ทั้งในด้านสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมของจังหวัดพิษณุโลก สุโขทัย
และอุตรดิตถ์ ด้วยความแตกต่างของคุณวุฒิ วัยวุฒิ อาชีพของผู้เข้าร่วมสัมมนา จึงก่อเกิดข้อมูล
ความคิดเห็นอันหลากหลาย
อุตรดิตถ์ ชาวลับแลเป็นคนเชียงแสนอพยพมาตั้งถิ่นฐาน
มีความเชื่อเรื่องผีแต่ละหมู่บ้านนิยมนำฝาบ้านมาทำโลงศพ, ชาวน้ำปาดเป็นคนลาวอพยพมาตั้งถิ่นฐาน
นับถือพญานาค ฯลฯ
พิษณุโลกปี ๒๔๕๐ เปิดสถานีรถไฟพิษณุโลก, ปี
๒๕๔๗ เกิดแผนการสร้างสี่แยกอินโดจีน, ปี ๒๕๓๓ ชุมชนชาวแพถูกย้ายไปอยู่ที่โคกช้าง, ปี
๒๕๕๕ ชาวไททรงดำที่เคยอยู่อย่างกระจัดกระจายมีการรวมตัวกันเป็นศูนย์อนุรักษ์วัฒนธรรมชาวไททรงดำ
ฯลฯ
สุโขทัย ปี ๒๕๑๙ เกิดอุทยานแห่งชาติศรีสัชนาลัย,
ปี ๒๕๓๐ สามีฝรั่งคนแรกเข้ามาอยู่ที่ตำบลเมืองเก่า, ชาวอีสานอพยพเข้ามาอยู่ที่บ้านด่านลานหอยและทุ่งเสลี่ยม
ฯลฯ
“วันนี้ได้รู้ว่าประวัติศาสตร์ไม่ใช่เรื่องไกลตัว
เป็นเรื่องที่อยู่ใกล้ ๆ ตัวเรานี่เอง”นายจิรเวศน์ สุธีรภิญโญนักเรียนโรงเรียนอุตรดิตถ์
“จะนำข้อมูลและกระบวนการที่ได้ไปต่อยอดในงานวิจัยและวิทยานิพนธ์ของตัวเอง”
นายกิตติศักดิ์ สีมูล นิสิตสาขาประวัติศาสตร์
คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
“การเรียนประวัติศาสตร์ท้องถิ่นสามารถนำไปใช้กับเด็กได้จริง
เพราะเด็กคือสื่อกลางในการรวบรวมความรู้ต่าง ๆ จากท้องถิ่นของตัวเอง”นางสายปัญญา สุธีรภิญโญ
อาจารย์โรงเรียนอุตรดิตถ์
“ได้เห็นความจริงใจของส่วนกลางในกาลงมาฟังเสียงของคนในท้องถิ่น
เก็บข้อมูล ระดมความคิดเห็นของคนทุกช่วงวัย นับเป็นกระบวนการใหม่ มิติใหม่ที่มีคุณค่ามาก
เป็นแบบอย่างให้คนรุ่นหลังได้เดินอย่างถูกต้อง
และเป็นบรรทัดฐานในการลงพื้นที่ต่อไปในอนาคต”นายณรงค์ชัย โตอินทร์
ปราชญ์ชาวบ้านจังหวัดสุโขทัย
“ปกติเวลาเข้าร่วมประชุม สัมมนา พอเสร็จก็จบ
แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ ทำให้ได้กลับมาคิด ทบทวน
เพื่อเตรียมตัวรับกับสิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ เราจะปรับตัวอย่างไร
จะสร้างภูมิคุ้มกันให้เด็ก ๆ อย่างไร จะทำอย่างไรให้วิถี
วัฒนธรรมของไททรงดำยังคงอยู่ กระตุ้นจิตสำนึกของลูกหลานให้มีความภาคคูมิใจ
พูดภาษาไททรงดำ แต่งกายแบบไททรงดำ โดยจะนำเข้าที่ประชุมของกลุ่มอนุรักษ์วัฒนธรรมไททรงดำภาคเหนือตอนล่าง
และคิดว่าการสัมมนาครั้งนี้ครั้งเดียวยังไม่พอ ต้องระดมข้อมูล
ความคิดของผู้รู้อีกมาก”นางดอกรัก วันทรรศน์
ประธานศูนย์อนุรักษ์วัฒนธรรมไททรงดำ ต.บ่อทอง อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก
จากการสัมมนาครั้งนี้ นักวิชาการและนักวิจัยยอมรับว่าอาจต้องจัดการสัมมนา
พูดคุยกันอีกหลายครั้งก่อนเข้าสู่กระบวนการสกัด กลั่นกรอง ถอดบทเรียน เพื่อให้ได้เนื้อแท้ของประวัติศาสตร์แต่ละท้องถิ่น
ก่อนพัฒนาเป็นต้นแบบหลักสูตรการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ทั่วประเทศ
เพื่อให้วิชาประวัติศาสตร์มีคุณค่าต่อคนไทยและประเทศชาติอย่างแท้จริง
พรปวีณ์ ทองด้วง นักประชาสัมพันธ์
สถานอารยธรรมศึกษา
โขง-สาละวิน มหาวิทยาลัยนเรศวร
๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๙
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น