เมื่อเวลาประมาณ 12.00 น. ของวันที่ 13 มีนาคม 2558 สื่อมวลชนในจังหวัดสมุทรสาครกว่า 30 คน ได้รวมตัวกันเดินทางมาที่ สภ.เมืองสมุทรสาคร เพื่อเข้ายื่นหนังสือร้องเรียนถึง พล.ต.ต.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรสาคร และ พ.ต.อ.ชัยยุทธ ถมยา ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองสมุทรสาคร เพื่อขอให้ตักเตือนการใช้กิริยา วาจา ในการปฏิบัติหน้าที่ของ ร.ต.ท.สันติ มณีรัตน์ พนักงานสอบสวน สภ.เมืองสมุทรสาคร โดยมีนายบุญเลิศ โกมลหิรัญ ผู้สื่อข่าวไทยทีวีช่อง 3 เป็นผู้ยื่นหนังสือ
แต่ก่อนที่จะมีการยื่นหนังสือนั้น ทางพระสุรพล เขมวโร อายุ 66 ปี ซึ่งเคยเข้าแจ้งความไว้ว่าถูกบุตรชายใช้อาวุธปืนข่มขู่เหตุเกิดเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2558 ที่ผ่านมา ก็ได้มาติดตามความคืบหน้าการดำเนินคดีดังกล่าว โดยมีนายษิทรา เบี้ยบังเกิด ทีมงานทนายประชาชนเป็นคนพาผู้เสียหายเข้าพบกับ ร.ต.ท.สันติ มณีรัตน์ พนักงานสอบสวนฯ และมีการให้ปากคำเพิ่มเติมเพื่อตั้งข้อกล่าวหาต่อไป
จากนั้นสื่อมวลชนได้เข้าพบกับ พ.ต.อ.ประเสริฐ ศิริพรรณาภิรัตน์ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรสาคร รักษาราชการแทนผู้บังคับการ และเป็นผู้รับหนังสือร้องเรียนไว้ ซึ่งเหตุที่มาของการร้องเรียนนั้นเกิดจากกรณีที่เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2558 เวลาประมาณ 15.00 น. นายบุญเลิศ โกมลหิรัญ ผู้สื่อข่าวไทยทีวีสีช่อง 3 พร้อมด้วย นายชูชาติ แดงพยนต์ และนางสาวชุติมา วัชวงค์ ผู้สื่อข่าวช่อง 8 ได้รับทราบว่า มีพระภิกษุสงฆ์เข้าแจ้งความที่ สภ.เมืองสมุทรสาคร เนื่องจากถูกบุตรชายใช้อาวุธปืนข่มขู่ ซึ่งเป็นประเด็นข่าวที่น่าสนใจ จึงได้ขึ้นไปติดตามสถานการณ์ ณ ห้องสอบสวน และได้พบกับพระภิกษุสงฆ์รูปดังกล่าว ชื่อ พระสุรพล เขมวโร อายุ 66 ปีเศษ พระลูกวัดแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรสาคร พร้อมกับ นายอาณัติ จีวะสังข์ อายุ 24 ปี และ นางสาวกิตติยา จีวะสังข์ อายุ 21 ปี (หลานชายและหลานสาวของพระ) อยู่บ้านเลขที่ 20/1 หมู่ที่ 7 ต.ท่าทราย อ.เมือง จ.สมุทรสาคร นั่งรอแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ซึ่ง ณ ขณะนั้นมี ร.ต.ท.สันติ มณีรัตน์ พนักงานสอบสวน สภ.เมืองสมุทรสาคร ปฏิบัติหน้าที่อยู่ พร้อมกันนี้ยังมีผู้มารอแจ้งความอีก 1 คน คือ นายรังสรรค์ เจียรนัย นายก ทต.ท่าจีน แต่ทางด้านของ นายก ทต.ท่าจีนได้เห็นว่า ปัญหาของพระภิกษุและหลานชาย กับ หลานสาวของท่านนั้นเป็นเรื่องร้อนกว่า จึงได้บอกให้ท่านแจ้งความก่อน แต่ปรากฎว่าทางพนักงานสอบสวนกลับมีท่าทีไม่ค่อยสนใจความเดือดร้อนของชาวบ้าน อีกทั้งเมื่อนายบุญเลิศฯ สอบถามว่า ไม่รับแจ้งความก่อนหรือ ก็ได้รับคำตอบกลับมาว่า “ผมมีแค่สองมือนะ ผมไม่สามารถที่จะทำให้ได้อย่างใจหรอก” ซึ่งนับเป็นการใช้คำพูดที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง เพราะเป็นพนักงานสอบสวน เป็นข้าราชการ และเป็นตำรวจผู้รับใช้ประชาชน ควรใช้คำพูดที่สุภาพ เรียบร้อยแม้ว่า ณ เวลานั้นจะมีภารกิจที่ยุ่งแค่ไหนก็ตามก็น่าจะพูดกับพระท่านดีๆว่า นั่งรอสักครู่นะครับ เดี๋ยวขอผมทำงานตรงนี้ก่อน เป็นต้น
อีกทั้งในเวลาต่อมานายปิยะชัย เผ่าทอง ซึ่งเป็นลูกชายของพระและเป็นน้าชายของนายอาณัติ กับ นางสาวกิตติยา จีวะสังข์ อีกทั้งยังเป็นผู้ถูกกล่าวหา ที่ทางพระท่านได้ขึ้นมาแจ้งความร้องทุกข์นั้น ก็ได้ตามมาที่โรงพักเมือง ในอาการคล้ายคนเมาสุรา มีกลิ่นเหล้าเหม็นคละคลุ้ง อยู่ในอาการฉุนเฉียว และมีการตะโกนหน้าโรงพักว่า คืนนี้กลับไปจะจัดให้สวยเลย ซึ่งเมื่อนายปิยะชัยฯ เข้าพบพนักงานสอบสวนฯ คนดังกล่าว ทางพนักงานกลับเพียงแค่จดชื่อ เบอร์โทร แล้วบอกให้กลับบ้านไปก่อน จะเรียกตัวมาสอบปากคำใหม่ ไม่มีการควบคุมตัวไว้สอบปากคำก่อน ทั้งๆ ที่มีพฤติการณ์ข่มขู่บุคคลซึ่งเป็นบุพการีและบุคคลในครอบครัวให้เกิดความหวาดกลัว ซึ่งก็ทำให้กับญาติพี่น้องไม่กล้าที่จะกลับเข้าบ้าน ส่วนพระนั้นทางพนักงานสอบสวนก็บอกให้กลับไปก่อนเช่นกัน แล้วจะเรียกมาสอบปากคำใหม่ แต่ไม่มีใครกล้าออกจากโรงพักและทางพระภิกษุก็ไม่ยอมกลับด้วย เพราะต้องการแจ้งความไว้ก่อน
ทั้งนี้จากเหตุการณ์ตรงนี้ ทางผู้สื่อข่าวที่อยู่ในเหตุการณ์เกิดความสงสัยว่า 1.ทำไมพนักงานสอบสวนจึงไม่ให้ความสำคัญกับประชาชนที่เดือดร้อนมา พวกเขาเดินทางมาแจ้งความถึงที่ สภ.เมืองสมุทรสาคร แสดงว่าต้องได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก ต้องการหนีร้อนมาพึ่งเย็น แต่กลับไม่ได้รับความสนใจจากเจ้าหน้าที่ตำรวจในการรับแจ้งความเลย ,2.ทำไมเมื่อบุคคลที่มีพฤติการณ์ข่มขู่บุคคลซึ่งเป็นบุพการีตนเอง เดินทางมาถึงโรงพัก จึงไม่มีการควบคุมตัวไว้สอบสวนก่อน กลับปล่อยให้กลับบ้านแล้วถ้าเกิดไปทำอันตรายบุคคลในบ้านใครจะรับผิดชอบได้,3.บุคคลดังกล่าวมา สภ.เมืองสมุทรสาครด้วยลักษณะอาการคนเมาสุราจนเห็นได้ชัดเจน และขับรถมาเอง ทำไมเบื้องต้นจึงไม่ควบคุมตัวไว้และแจ้งข้อหา เมาแล้วขับ ซึ่งนับเป็นข้อหาที่ศาลระบุโทษไว้ ยอมความไม่ได้ ต้องขึ้นศาลตัดสินคดีเท่านั้น และ 4 . ความคืบหน้าในคดีนี้เป็นเช่นไร เนื่องจากเป็นคดีที่บุตรชายมีพฤติการณ์ใช้อาวุธปืนข่มขู่บิดาตนเองทั้งๆ ที่บวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ อีกทั้งต่อมายังทำร้ายร่างกายผู้สื่อข่าว นายณัฐวุฒิ เอกจิโรภาส ที่ตามมาทำข่าวในภายหลังอีกด้วย จึงเป็นที่สนใจของสำนักข่าวต่างๆ เป็นอย่างมาก
ด้าน พ.ต.อ.ประเสริฐ ศิริพรรณาภิรัตน์ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรสาคร ก็ได้บอกกับผู้สื่อข่าวทุกคนว่า พฤติกรรมของพนักงานสอบสวนตามที่สื่อมวลชนได้ทำหนังสือร้องเรียนมานั้น ถือว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่ๆ มีความขาดตกบกพร่อง และขาดไหวพริบในการทำงาน อีกทั้งยังขาดการยับยั้งอารมณ์ด้วย ซึ่งเจ้าหน้าที่พนักงานสอบสวนนั้นจะต้องรู้จักการควบคุมอารมณ์ และให้เกียรติประชาชนที่มาติดต่องานราชการ ต้องเห็นเรื่องทุกข์ร้องของประชาชนเป็นสำคัญ แต่ทั้งนี้ก็จะต้องมีการเรียกพนักงานสอบสวนคนดังกล่าวมาชี้แจงด้วย เพื่อให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย ซึ่งเบื้องต้นก็ขอรับหนังสือร้องเรียนไว้และจะรีบดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้โดยเร็วที่สุด
ยุทธนัย อังกิตานนท์ บรรณาธิการ นสพ.เสียงประชา ข่าว
เรวัติ น้อยวิจิตร hub admin rewat.noyvijit@hotmail.com 08-1910-7445
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น