วันศุกร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2556

“ยิ่งลักษณ์” มอบรางวัล “รัษฎากรพิพัฒน์” ปี 54 เชิดชูเกียรติคนเสียภาษี

นายกฯ ประธานมอบรางวัล “รัษฎากรพิพัฒน์” ปี 54 เชิดชูเกียรติคนเสียภาษี ชี้เป็นเจตนารมณ์ร่วมปฏิบัติตามกฏหมาย ยันรัฐนำเงินพัฒนาชาติ พร้อมลดภาษีช่วยภาคเอกชนมีศักยภาพแข่งขันเพิ่ม โดยในภาพ คุณอัมรินทร์ เกิดสงกรานต์ ประธานหอการค้าจังหวัดสุพรรณบุรี ได้เข้ารับมอบ รางวัล “รัษฎากรพิพัฒน์” ประจำปี 2554 ในครั้งนี้ด้วย วันนี้ (29 ส.ค.) ที่ห้องพระอุเทน ชั้น 2 กรมสรรพากร เมื่อเวลา 09.30 น. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานและกล่าวแสดงความยินดีในพิธีมอบรางวัล “รัษฎากรพิพัฒน์” ประจำปี 2554 พร้อมด้วยนายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นประธานในพิธีการมอบรางวัล จำนวน 120 ราย แบ่งเป็นผู้เสียภาษีบุคคลธรรมดา 11 ราย และผู้เสียภาษีนิติบุคคล109ราย ทั้งนี้เพื่อเป็นการเชิดชูเกียรติให้แก่ให้กับผู้เสียภาษีคุณภาพที่มีความรับผิดชอบต่อการทำหน้าที่เสียภาษีให้แก่ประเทศ และส่งเสริมให้ผู้เสียภาษีเกิดความภาคภูมิใจในการทำหน้าที่ พร้อมทั้งตระหนักถึงคุณค่าของการทำความดีและรับผิดชอบต่อสังคม อีกทั้งเป็นแบบอย่างที่ดีในการเสียภาษีตามหลักบรรษัทภิบาล รวมถึงก่อให้เกิดประสิทธิภาพในการบริหารจัดเก็บภาษีในภาพรวม ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความยินดีว่า ขอแสดงความยินดีแก่ผู้ที่ได้รับรางวัล และขอให้บริษัทที่ได้รับรางวัลเป็นตัวอย่างที่ดีแก่บุคคลทั่วไป รวมถึงผู้ประกอบการ ถือเป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันว่ารัฐบาลให้ความสำคัญต่อการปฏิบัติตามกฎหมาย และการเสียภาษีที่ถูกต้อง ซึ่งเงินภาษีอากรนั้นจะเป็นส่วนช่วยในการพัฒนาประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้า และยังช่วยในเรื่องคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งการเก็บภาษีอากรที่มากขึ้น ก็หมายถึงเศรษฐกิจที่ดีขึ้น การจ้างงานของคนไทยที่มากขึ้น ตรงนี้จะทำให้ประเทศเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน และเงินรายได้จากการเสียภาษีอากรทุกบาททุกสตางค์ ภาครัฐจะนำเงินมาใช้ในการลงทุน พัฒนาประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจ พัฒนาชีวิต และโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อเตรียมความพร้อมสู่การเป็นประชาคมอาเซียน ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้มีความจำเป็นที่ต้องนำเม็ดเงินให้เกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่า และเป็นธรรม น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า ปีนี้การใช้จ่ายงบประมาณมีจำนวนมากที่เราจะต้องไปพัฒนาในหลายเรื่อง ซึ่งรัฐบาลได้มีนโยบายโครงสร้างภาษีอากรที่จะทำให้ภาคเอกชนแข่งขันกับต่างประเทศได้ โดยการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลจากร้อยละ 30 เป็นร้อยละ 23 ในปี 2555 และในปี 2556 จะปรับลดเหลือร้อยละ 20 เพื่อลดค่าใช้จ่ายในภาคเอกชน มีศักยภาพการแข่งขัน โดยหวังให้นำเงินส่วนต่างจากการปรับลดภาษีไปจ้างงานมากขึ้น เพื่อส่งผลที่ดีต่อระบบเศรษฐกิจในประเทศไทยต่อไป ข้อมูล http://manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9550000106341 http://w7.thaiwebwizard.com/member/suphaninsure/wizContent.asp?wizConID=54704&txtmMenu_ID=7

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น